วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บุญ บาป เป็นพลังงาน

(sparkle)♡บุญ บาปเป็นพลังงาน♡

1 บุคคลที่มีจิตเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิ มีจิตเมตตาปราณี
ทางการแพทย์พบว่า ต่อมใต้สมอง
จะผลิตสารบุญเรียกว่า เอนดอร์ฟีน (ENDORPHINE) ออกมามาก
ส่งผล ให้ร่างกายเบาสบาย ที่เรียกว่า เกิดปิติ
กินได้นอนหลับ ไม่ฝันร้าย หรือไม่ฝันเลย ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าสดชื่น โคเรสเตอรอลละลายสลายตัว เม็ดเลือดขาวแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคสูง ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี เจ็บป่วยทางกายน้อยลง บาดแผลหายเร็วกว่าผู้มีจิตใจเป็นบาปถึงเท่าตัว
หากเป็น โรคมะเร็ง เซลล์มะเร็งจะหยุดหรือลุกลามช้าลง

2 ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่จิตมีมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิ
จิตที่คิดเกลียด โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาต พยาบาท เคียดแค้น เครียด วิตกกังวล ต่อมหมวกไตจะสร้างสารบาปออกมามาก
สารนี้จะซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ดังนี้

2.1. สารแอดรินาลิน (ADRENALIN) ทำให้หัวใจเต้นเร็วแรง
เส้นโลหิตแดงหดเกร็ง เป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
ถ้าเส้นเลือดแดง ที่ไปหล่อเลี้ยง กล้ามเนื้อผนังหัวใจหดจนตีบตัน
หัวใจจะวายถึงตายได้

โคเรสเตอรอล จะถูกสร้างขึ้น
ทั้งๆ ที่มิได้รับประทานไขมันสัตว์ กะทิ ไข่แดง หอยนางรม
หรือเครื่องในสัตว์มากกว่าปกติ

2.2. สารสเตียร์รอยด์ (STERROID) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการหลั่งน้ำย่อยอาหาร
อาจมีผลทำให้หลั่งมากหรือน้อยก็ได้

ถ้าหลั่งมาก น้ำกรด ในน้ำย่อยย่อมกัดผนังด้านในของกระเพาะอาหาร
ทำให้ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ถ้ากัดกร่อน เส้นเลือดใหญ่ทะลุ จะอาเจียนเป็นเลือด
หากช่วยไม่ทันจะเสียเลือดจนตาย

ถ้าหลั่งน้อย
ท้องจะอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร

2.3. สารแลคติค แอซิด หรือ เกลือแลคติค (LACTIC ACID) ที่เกิดขึ้นแล้วมีผลต่อร่างกาย คือ
ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ทำลายความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาว
เหมือนฤทธิ์ของ HIV เชื้อโรค AIDS

ร่างกายจึงอ่อนแอ
เจ็บป่วยบ่อย หายยาก
เกล็ดเลือดในกระแสโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเล็กๆ
ไปอุดตันตามหลอดเลือดฝอยต่างๆ
ถ้าเกิดขึ้นกับอวัยวะสำคัญ เช่น สมองจะทำให้เกิดอัมพาตขึ้นได้

พลังงานแห่งวิบากกรรม เหล่านี้
เมื่อถูกก่อขึ้นแล้วมิอาจสูญหายไป ในทางใดได้

พลังงานดังกล่าวจะตามสนองเรื่อยไป ตามโอกาส
ตราบจน ผู้นั้นสิ้นกิเลส สิ้นกรรม
ไม่ก่อพลังงานของกรรมใหม่อีกต่อไป ที่เรียกว่า กรรมเป็นผู้ติดตาม

เมื่อท่านทราบผลกรรมที่เป็นปัจจุบันกรรมเช่นนี้แล้ว
ขอได้หยุดสร้างกรรมต่อกัน ทั้ง มโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม
พลังงานของวิบากกรรม จะเกิดขึ้นน้อย หรือไม่เกิดขึ้น
การทำงานทุกระบบของร่างกาย จะเป็นปกติ
ท่านจะมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้ง ร่างกายและจิตใจ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ลงบทความเรื่องสัจธรรม โดย แพทย์หญิงบุษกร สวัสดิ์-ชูโต

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

17 เหตุผลที่คนยุคใหม่ทำธุรกิจไม่รุ่ง part12

11. ศรัทธา Passive Income มากจนเกินไป
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ้าของไม่ลงมาทำเอง หนังสือต่างๆ มากมายรวมไปถึงนักพูดส่วนใหญ่เอา Passive Income เอามาใช้อย่างสวยหรู แน่นอน หลักประกันของ Passive Income มีสองอย่าง คือหนึ่งระบบคุณต้องแข็งแรงมาก และสอง ลูกน้องหรือผู้ร่วมธุรกิจของคุณ นั้นจะต้องรักคุณมากๆ จนไม่กล้าทำให้คุณผิดหวัง ส่วนใหญ่ไม่มีทั้งสองทาง เลยติดกับดักของ Passive Income

12. ไม่มีเวลา
มีลูก พ่อแม่ป่วย ย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน การไม่มีเวลาดูแลธุรกิจเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะทำธุรกิจเติบโตไปได้ เพราะการที่เราจะประสบความสำเร็จอะไรสักหนึ่งธุรกิจนั้นได้ จะได้ใช้เวลา ศึกษา ใช้เวลาลงมือทำอย่างจริงจัง เพราะหากเราไม่มีเวลาให้กับธุรกิจที่เราจะทำขอแนะนำว่าอยู่เฉยๆจะดีกว่า เพราะคำว่าไม่มีเวลา

13. ดูถูกธุรกิจตัวเอง
ทัศนคติเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายสำหรับธุรกิจเลยทีเดียวก็ว่าได้ หลายๆคนมักจะดูถูกสิ่งที่ตัวเองทำ บางคนเรียนสูง เปิดร้านกาแฟแต่ไม่ยอมลงมาทำเอง ไม่มาดูแลลูกค้า ศึกษาความต้องการของลูกค้า เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่สมศํกดิ์ศรีการเรียนของเขา ความจริงคืออะไรที่หาเงินได้แล้วถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม มันไม่มีคำว่าเสียศักดิ์ศรี

14. ลงทุนไม่รู้จักจบจักสิ้น
การเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งดี แต่หลายๆครั้ง เงินทุนและกำไรทั้งหมดเอาไปลงทุนเพื่อความสมบูรณ์แบบ ทำให้ต้นทุนของธุรกิจสูงจนน่าใจหาย สุดท้ายได้กำไรมาเท่าไหร่ ต้องหมุนเป็นเงินลงทุนหรือไม่ก็ดอกเบี้ยธนาคารทั้งสิ้น

15. คิดว่าการเริ่มต้นคือความสำเร็จ
หากคิดว่าความสำเร็จคือการเริ่มต้น นั่นเป็นความคิดที่น่ากลัวมาก หลายคนมักจะรู้สึกว่าตัวเองนั้น ประสบความสำเร็จแล้วหลังจากตัดสินใจลงมือทำธุรกิจ แต่แท้จริงแล้วคนที่เขาประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงทุกคน จะสอนหรือแนะนำเหมือนกันหมด ว่าการเริ่มต้นยากและเหนื่อยที่สุด ดังนั้นคุณต้องทำใจการเริ่มต้นคือการเริ่มเหนื่อย มันยังไม่ใช่ความสำเร็จ

16. ทุกอย่างเป็นความผิดของคนอื่น
การเมือง เศรษฐกิจ เพื่อนร่วมงาน หุ้นส่วน พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงมิตรสหาย และเลวร้ายที่สุด คู่แข่ง และที่เลวร้ายที่สุด โทษ “ลูกค้า” การโทษคนอื่นเป็นการง่ายที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ผิด แต่คนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยล้วนเป็นคนที่โทษตัวเองเป็นอันดับแรกทั้งสิ้น ข้อดีของการโทษตัวเองคือมันจะได้รู้จุดที่ปรับเปลี่ยนตัวเองทัน แล้วเอาไปใช้เพื่อหาเงินหาทองครับ

17. หมดแรงก่อนถึงเป้าหมาย
อันนี้เป็นเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุด ความขี้เกียจ ท้อแท้ หมดแรงเป็นศัตรูตัวร้ายอยู่ทุกวงการอยู่แล้ว หลายๆ คนทำธุรกิจด้วยความอยากทำ พอทำแล้วก็เกิดความขี้เกียจแล้วพาลไม่อยากทำ ถ้าคุณรักในสิ่งที่คุณทำ คุณจะไม่มีวันขี้เกียจ เหตุผลเดียวที่คุณยังคงขี้เกียจ แสดงว่าคุณยังไม่มีเป้าหมายชีวิตที่อยากไปให้ถึงนั่นเอง คนที่มีชีวิตที่ดีคือคนที่สู้แล้วไม่ยอมแพ้ คุณคือนักสู้หรือเปล่า ถ้าใช่ ขอให้จดจำ 17 ข้อนี้ให้ดี แล้วชีวิตคุณจะพบเจอจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม

และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงได้ทำธุรกิจแล้วล้มเหลวกันทั้งนั้น เพราะขาดเป้าหมาย ความอดทน ไม่มีเวลา และที่สำคัญขาดความรู้ ฉะนั้นก่อนจะเริ่มทำธุรกิจขอให้คิดดีๆก่อนว่าเรารักมันจริงๆ มีความรู้มากพอ หากคิดว่าพร้อมแล้วก็ลุยเลย

17 เหตุผลที่คนยุคใหม่ทำธุรกิจไม่รุ่ง part1

17 เหตุผลที่คนยุคใหม่ทำธุรกิจไม่รุ่ง part1
สมัยนี้คนส่วนใหญ่หรือนักศึกษาจบใหม่เริ่มมีความคิดที่ไม่อยากจะทำประจำกันหมด อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองกันทุกคน แต่บางคนก็ไม่มีความรู้มากพอ บางคนไม่มีเงินทุน แต่บางคนก็เริ่มธุรกิจของตัวเองได้ แต่ว่าทำไปทำมากลับล้มเหลว วันนี้เราเลยนำเสนอ 17 เหตุผลที่ควรรู้ว่าทำไมถึงทำไมธุรกิจไม่รุ่ง

1. ไม่มีที่ปรึกษาที่ดี
การหาที่ปรึกษาที่ดีไม่ใช่การปรึกษาเพื่อนร่วมงานหรือมนุษย์เงินเดือนด้วยกัน เพราะเราก็จะได้แต่ทัศนคติและมุมมองเดิมๆ ส่วนใหญ่ที่คนทำธุรกิจแล้วล้มเหลว เพราะเลือกที่จะปรึกษาคนระดับเดียวกันที่ยังไม่เคยทำธุรกิจ เลยทำให้นอกจากจะขาดแนวทางที่ดี ยังขาดการเข้าใจปัญหาที่ถูกต้องอีกด้วย

2. เลือกคนผิด
หลายคนตัดสินใจทำธุรกิจครั้งแรกด้วยความไม่มั่นใจ เลยดึงเอาคนอื่นมาร่วมกันทำธุรกิจเพื่อเป็นหุ้นส่วน ประเด็นคือการหาหุ้นส่วนไม่ใช่เรื่องผิด แต่ที่ทำให้ล้มเหลวจริงๆ ก็คือการตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ บางคนหุ้นส่วนทิ้งงาน ทะเลาะกับลูกค้า มีความคิดเห็นขัดแย้งกันเองเป็นต้น เหมือนดั่งคบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล

3. ใช้เงินคนอื่นลงทุน
ตรงนี้ขัดแย้งกับความเชื่ออันเดิมของผมเป็นอย่างมาก หนังสือการเงินส่วนใหญ่สอนให้ใช้เงินคนอื่น แต่นี่คือสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ธุรกิจเราล้มเหลว เพราะการเอาเงินคนอื่นมาลงทุน จะทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของเงิน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เอามาลงทุนนั้นมีมูลค่าขนาดไหน คล้ายๆกับพ่อแม่ซื้อโทรศัพท์มือถือ iPhone ให้ กับเราเก็บตังค์เพื่อซื้อโทรศัพท์ iPhone เอง ความรัก ความภูมิใจ การถนอมธุรกิจมันแตกต่างกัน

4. อายที่จะเป็นนักขาย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ คนที่เริ่มทำธุรกิจครั้งแรกหลายคนไม่กล้าที่จะเป็นนักขาย บริษัทใหญ่จะเจริญเติบโตและมีรายได้ ได้อย่างไรถ้าไม่มีระบบการขายที่ดี ธุรกิจเล็กๆ จะรอดได้อย่างไร ถ้าการขายเป็นสิ่งที่ถูกละเลย ดังนั้นทักษะด้านการขายถือว่าสำคัญสุดๆ

5. ซ้ำจนเกร่อ
รู้ไหมครับว่าคนทำธุรกิจส่วนใหญ่แล้วล้มเหลวนั้น ส่วนใหญ่นั้นมาจากธุรกิจอะไร ธุรกิจส่วนใหญ่ที่ทำแล้วล้มเหลวเป็นจำนานมากนั้นมาจากธุรกิจขายกาแฟนั่นเอง โชคดีในยุคนี้คือกาแฟกลายเป็นของทานเล่นที่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนใช้กินกัน ร้านกาแฟไม่ใช่ไม่ดี แต่ถ้าหาจุดที่ไม่ซ้ำคนอื่นไม่ได้ โอกาสรอดก็ยาก

6. คิดว่าเงินธุรกิจคือเงินตัวเอง
ข้อนี้เป็นเรื่องที่ประหลาดใจมากๆ เพราะคนทำธุรกิจส่วนใหญ่ที่ประสบความล้มเหลวมักจะบอกว่า ทำแล้วไม่มีกำไร พอผมถามถึงเรื่องต้นทุนกับการขายปรากฏว่ามีกำไรแน่ๆ และพอได้พูดคุยสอบถามกันไปสอบถามกันมา กำไรของธุรกิจ ถูกเอามาใช้กับเรื่องส่วนตัวหมด เลยทำให้กำไรเป็นขาดทุนทันที

7. หาลูกน้องดีๆ ไม่ได้
ข้อนี้สำคัญเลยทีเดียว ใครก็ตามที่เปิดร้านแล้วต้องมีคนเฝ้าร้าน ดูแลร้าน น่าประหลาดที่การหาลูกน้องเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ในยุคนี้ หลายๆร้านเจ้าของต้องลงไปทำเอง ซึ่งกำไรที่ได้ไม่คุ้มค่าตัวตัวเองแน่ๆ เลยทำให้ต้องต้องตัดสินใจปิดร้านไปโดยปริยาย บางคนได้ลูกน้อง แต่เอาลูกน้องมาดูปุ๊บยอดตก เพราะได้ลูกน้องค่าแรงถูก แต่บุคลิกหรือการพูดกับลูกค้าไม่ได้เลย บางคนหนักหน่อย โดนขโมย

8. อีโก้แรง
การเป็นมนุษย์เงินเดือนคุณจะง้อหรือไม่ง้อลูกค้าก็ได้ เพราะว่าบริษัทคือส่วนเสียหาย ไม่ใช่พนักงาน แต่การทำธุรกิจนั้นจำเป็นที่ต้องง้อลูกค้าอย่างมหาศาล ตราบใดที่รายได้ยังไม่สะพัด เพราะกำไรของธุรกิจส่วนใหญ่จะเกิดจากการซื้อซ้ำนั่นเอง

9. ขาดความมั่นใจดื้อๆ
เวลาที่ลงทุนทำอะไรแล้วไม่เป็นไปอย่างที่คิด สิ่งแรกสุดที่เราต้องทำก็คือ หาสาเหตุให้ได้ก่อนว่าเพราะอะไรทุกอย่างถึงไม่เป็นไปตามความคิด แต่คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลว พอเจออุปสรรคที่นอกเหนือจากที่วางแผนเอาไว้ ก็ท้อใจ และขาดความมั่นใจเอาดื้อๆ ทำให้หลายๆ ครั้งปัญหาเล็กๆ กลายเป็นสวิตช์ปิดตายความสำเร็จไปเลย

10. เจอเรื่องไม่คาดฝัน
ม็อบปิดถนน คู่แข่งมาเปิดแข่ง หุ้นส่วนทะเลาะกันแล้วขอแยกยกเลิกการเป็นหุ้นส่วนกัน ลูกน้องทิ้งร้านไม่ดูแล ลูกค้าไม่พอใจแล้วโวยวาย เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ล้วนได้ชื่อว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งนั้น ทำให้จำใจต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อิฐ 2 ก้อน


อิฐ ๒ ก้อน....
 
ฝากให้อ่าน มุมมองของคุณจะเปลี่ยนไป อาจารย์พรหม หรือ พระวิสิทธิสังวรเถร เป็นชาวอังกฤษ เป็นลูกศิษฐ์หลวงปู่ชา ก่อนจะไปก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ที่ออสเตรเลีย ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี ๒๕๒๖ พระอาจารย์พรหม เล่าว่า หลังจากซื้อที่ดินแล้วเงินก็แทบไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง ตั้งแต่ผสมปูนจนถึงการก่อกำแพงอิฐ..
ท่านลงมือทำเองก็รู้สึกว่า ได้ทำอย่างประณีตที่สุด จนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จสิ้นลง..
แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่า ก่ออิฐพลาดไป ๒ ก้อน..!!
อิฐกำแพงเรียงเรียบสวย แต่มีอยู่ ๒ ก้อนที่เอียง ๆ..
พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่ แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม..
จากนั้นเป็นต้นมา.. ทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้..
เพราะอายที่ก่ออิฐผิดพลาดไป ๒ ก้อน..
จนกระทั่งวันหนึ่ง.. พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง..เขาเห็นกำแพงก็เปรยขึ้นมาว่า "กำแพงนี่สวยดี"..
พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า..
"คุณลืมแว่นสายตาไว้ที่รถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่า มีอิฐ ๒ ก้อนที่ก่อผิดพลาดจนกำแพงดูไม่ดี.."
แต่แล้ว ผู้มาเยี่ยมชมคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้ พร้อมกับเปลี่ยนแง่มุมที่มีต่อชีวิต..
ผู้เยี่ยมชมคนนั้นบอกว่า.. "ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น
แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่า.. มีอิฐอีก ๙๙๘ ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม"
"นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ บนกำแพงนั้น นอกเหนือจากเจ้า ๒ ก้อนที่เป็นปัญหา..
ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย และด้านขวา ของเจ้าอิฐ ๒ ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ..
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนอิฐที่ดี มีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดี ๒ ก้อนนั้น"
ช่วง ๓ เดือนที่ผ่านมา.. สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ ๒ ก้อนนั้น
ท่านยอมรับว่าสายตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่น ๆ..
ท่านอยากทลายกำแพง เพราะมองเห็นแต่อิฐ ๒ ก้อนที่ผิดพลาด..!!
แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง มองเห็นอิฐก้อนดี ๆ จำนวนมากบนกำแพงนี
กำแพงเดิมที่อยากทลาย ก็กลับงดงามขึ้นมาทันที..
"ใช่ ... กำแพงนี้สวยดี"
พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น
จนถึงวันนี้.. พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่า..
อิฐก้อนที่ผิดพลาด ๒ ก้อนนั้นอยู่ตรงไหนของกำแพง
“ทัศนคติ” ในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง
ทำให้อิฐ ๒ ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ
พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่า คู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์ หรือหย่าร้างกันก็เพราะทั้งคู่เพ่งมองแต่ "อิฐที่ไม่ดี ๒ ก้อน"
ในตัวคู่ชีวิตของเขา...
คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ "อิฐ ๒ ก้อน" ในตัวเราเอง ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก "อิฐ ๒ ก้อน" ที่ผิดพลาดแล้ว ยังมี "อิฐก้อนที่ดี" และ "อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ" มากมายอยู่ในตัวเรา เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น

ท่านอาจารย์พรหมเตือนสติว่า..
อย่าให้ความผิดพลาดของ "อิฐที่ไม่ดี" เพียง "๒ ก้อน" ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดี ๆ จนพัง.........

ที่มา: บทความดีๆ จาก http://bit.ly/bookbotkham

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

งานเลี้ยงรุ่น

"งานเลี้ยงรุ่น"      เพื่อนสมัยเรียนร่วมกันเมื่อจบ แยกย้ายกันไปสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างชื่อเสียง บางคนมียศสูงขึ้น หลายคนล้มเหลวยังย่ำอยู่กับที่ บางคนชีวิตเหมือนวันเก่าๆ !!!
        ในงานเลี้ยงรุ่นที่จัดขึ้นบางงาน พิธีกรบนเวที เอาแต่ยกย่องชมเชยเพื่อนที่ได้เป็นใหญ่เป็นโต ร่ำรวย มีหน้ามีตา ละเลยเพื่อนที่ยังเดินไปไม่ถึงฝัน จะเป็นงานเลี้ยงรุ่นที่เพื่อนมาร่วมน้อยลงไปเรื่อยๆ ... แต่หากกลุ่มไหน ให้เกียรติเพื่อนเสมอกัน เพื่อนผู้ประสบความสำเร็จมีวุฒิภาวะพอ ที่จะรู้ว่าต้องถอดหมวกแห่งความยิ่งใหญ่ ทิ้งไปก่อนเข้างาน มาในฐานะ "เพื่อน"ที่เสมอๆ กัน !!!
       งานเลี้ยงเพื่อนรุ่นนั้นยิ่งนานยิ่งมีเสน่ห์ เพื่อนที่จะเข้าร่วมยิ่งมากขึ้นถอดกรอบที่ตัวเองตีไว้ เปิดใจรับเพื่อน โดยไม่นึกถึงประโยชน์ตัวเองได้มากเท่าไร ยิ่งเป็นเสมือนแม่เหล็กจูงใจเรียกเพื่อนได้มากเท่านั้นอ่านช้าๆ น้ำตาจะไหล..อ่านแล้วโดนใจ เลยส่งมาแบ่งปันกัน... 
          มีใครบ้าง ที่ทำงานแล้วเกิน 30 ปี แล้ว แต่ยังโทรคุยหรือนัดทานข้าวกับเพื่อนสมัยเป็นนักเรียนอยู่เรื่อย ๆ …… ไม่ค่อยมีเลยเหรอ งั้นถามใหม่ … มีใครเคยไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นประจำปี หรืองานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนเก่าบ้าง ถามแบบนี้ ค่อยมีคนยกมือขึ้นนิดหน่อย ……..
            ขอถามอีกข้อ …ใครที่ไม่เคยพลาดงานเลี้ยงรุ่นเลย แม้แต่ปีเดียว น่าจะมอบรางวัลเพื่อนแห่งชีวิตให้จริง ๆ ครับ เพราะถ้าคุณไม่เคยขาดงานเลี้ยงรุ่นเลย แสดงว่าคุณให้คุณค่าและความหมายของความเป็นเพื่อนได้สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนที่ทำหน้าที่เตรียมงานรุ่น คอยประสานงาน คอยโทรตามให้เพื่อนไปร่วมงานรุ่น โดยหาสารพัดกลยุทธ์การตลาดมาเพื่อการปลุกเร้า เชิญชวนให้เพื่อนไปงานรุ่นกันให้ได้ ให้ครบ
            ถามว่า พวกที่เตรียมการต่างๆเพื่อการเลี้ยงรุ่น คนเหล่านั้นได้อะไรตอบแทน นอกจากเหนื่อย เปลือง โดนเพื่อนบ่น – - ไม่ไปหรอกงานรุ่นอะไรนั่นน่ะ มันเรื่องของเด็ก ๆ เราโตแล้ว หน้าที่การงานก็มากมาย มีเรื่องที่สำคัญกว่าตั้งมากมายก่ายกองต้องทำ มาชวนอะไร ไร้สาระ ว่างมากหรือไง – - นั่น เป็นไง ว่าไปโน่น น่าเสียดายนะครับ เพราะคุณกำลังสูญเสียช่วงที่ดีที่สุดของชีวิตไปอีกครั้งด้วยน้ำมือของคุณเอง ผมเอง เสียดายมาจนถึงเดี๋ยวนี้ หลังจากที่เสียเวลาแห่งความเยาว์วัยไปแล้ว ตามกฎของธรรมชาติ
            นั่นเพราะ เวลาแห่งการเลี้ยงรุ่น ทำให้เราได้นึกถึงอดีตร่วมกัน ไม่รู้ว่ามันเป็นเวทย์มนตร์ หรืออะไรสักอย่างที่ ทุกเรื่องราวจะพรั่งพรูออกมาเหมือนก๊อกของวันเวลาแตกทะลายลง เรื่องที่เคยสุข ก็ยิ่งสุขกว่าเมื่อมานึกย้อน ส่วนเรื่องทุกข์ เรื่องเศร้า เรื่องลอกการบ้านเพื่อนแล้วโดนดุ โดนตี โดนทำโทษ พอถึงวันเลี้ยงรุ่น เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องขำฮากลิ้ง เก็บมาอำได้ไม่รู้จบ ทั้งที่ตอนนั้น กว่าจะผ่านมาได้แทบปางตาย เพราะเหตุนี้หรือเปล่า โลกเราจึงมีงานเลี้ยงรุ่น เพราะเพื่อนคือสิ่งมีชีวิตที่แสนมหัศจรรย์ และจะปั้นแต่งก็แสนยาก  

ทุกคนในงานเลี้ยงรุ่น มีหมวกเดียวกัน..."เพื่อน"เท่านั้น

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีรับมือคนมีพิษ..

วิธีรับมือคนมีพิษ..

...ท่ามกลางสังคมที่มีผู้คนแตกต่างกันมากมาย เราอาจจะต้องพบเจอหรือใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลที่มีทัศนคติเป็นพิษ ดังนั้น เราจึงควรเรียนรู้วิธีรับมือกับบุคคลเหล่านี้ จากผู้ที่ประสบความสำเร็จว่าเค้ามีวิธีรับมือกับคนประเภทนี้อย่างไร..

8 วิธีรับมือกับบุคคลที่มีทัศนคติเป็นพิษ

1. "รับฟัง" แต่ไม่เอาใจไปจมมีอารมณ์ร่วมด้วย บุคคลที่มีทัศนคติเป็นพิษ เขาจะพยายามกัดกินทัศนคติและเวลาของคุณ ด้วยการทำให้คุณจมลึกลงไปในปัญหาของเขา โดยไม่ได้โฟกัสกับการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ผู้สำเร็จรู้ดีว่ามีเส้นแบ่งระหว่าง "การรับฟังปัญหา" กับ "การเอาตัวเองไปจนมีอารมณ์ร่วมกับทัศนตคิเชิงลบนั้นด้วย"

2. "ให้ข้อเสนอแนะ" แต่ไม่คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที การคาดหวังทำ
ให้คุณสูญเสียพลังงาน และ สร้างความต่อต้านให้กับคนประเภทนี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จรู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องต้องเผชิญกับ เสียงบ่น คำตำหนิ หรือ การปฏิเสธจากบุคคลที่เป็นพิษ ดังนั้น ผู้สำเร็จจะเพียงแค่แสดงข้อเสนอแนะ และ ให้พวกคนเหล่านั้นตัดสินใจว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับมัน โดยผู้ที่ความสำเร็จจะไม่เรียกร้องการกระทำหรือการเปลี่ยนแปลงในทันที

3. "รับมืออย่างชาญฉลาด" รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะหลีกเลี่ยง และ เมื่อไหร่ที่ควรรับมือ
เมื่อต้องรับมือกับอารมณ์ของบุคคลที่เป็นพิษ ผู้สำเร็จจะสามารถจัดการอารมณ์ของตนเองได้ดี พวกเขาทราบดีว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะหลีกเลี่ยง และ เมื่อไหร่ที่ควรต่อสู้อย่างชาญฉลาด

4. "เป็นผู้ควบคุมของความสุขของตัวเอง" ไม่อนุญาตให้ทัศนคติหรือความเห็นของคนอื่นๆมาเป็นตัวกำหนดความสุขของเรา
ผู้สำเร็จจะไม่อนุญาตให้ทัศนคติหรือความเห็นของคนอื่นๆมาเป็นตัวกำหนดความสุขของเขา พวกเขาคือผู้ควบคุมของความสุขของตัวเอง

5. "โฟกัสการแก้ปัญหา" ไม่ใช่ปัญหา
ผู้สำเร็จมุ่งเน้นการพัฒนาตนและการปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ของพวกเขา ดังนั้น ทัศนคติของพวกเขาก่อให้เกิดอารมณ์ในเชิงบวกมาก และ เขาเครียดยากกว่าคนทั่วไป เพราะ โฟกัสที่การแก้ปัญหามากกว่าปัญหา

6. "สร้างป้อมปราการ" อยู่เหนือทัศนคติเชิงลบ คุณไม่สามารถจัดการกับคน ทุกคนใน แบบเดียวกันได้ นั่นคือเหตุผลที่ผู้สำเร็จรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะสร้างป้อมปราการ เพื่อที่จะอยู่เหนือทัศนคติเชิงลบของคนรอบตัวเขา

7. "ไม่พิพากษาสิ่งใด" ใช้ความรัก ความเมตตา และ การให้อภัย เพื่อก้าวต่อไป
อย่างสง่างาม ผู้สำเร็จไม่ตัดสินสิ่งใด
เขาจะมุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบอื่น เช่น ความรัก ความเมตตา ความเข้าใจ ความเคารพในบุคคล และ การให้อภัย เพื่อก้าวต่อไปอย่างสง่างาม

8. "ให้อภัย" แต่สร้างกลไกในการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีกในอนาคต
ผู้สำเร็จจะไม่ลืมความผิดพลาดหรือคนทำผิดพลาดต่อเขา ผู้สำเร็จเลือกที่จะ ก้าวต่อไป และ สร้างกลไกในการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีกในอนาคตของตนเอง เขาจะ "ให้อภัย" แต่จะไม่ยอมเปิดโอกาสให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก