เทพ โพธิ์งาม: ตลกที่ไม่ยอมตลกกับการกินเนื้อสัตว์
เทพ โพธิ์งาม ตลกดังผู้เห็นความเท่าเทียมกันของทุกชีวิต
ทุกครั้งที่ไปทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวเพื่อนฝูงในวงการ หรือกับใครก็แล้วแต่ เทพ โพธิ์งามคือคนที่บริกรยืนรอสั่งอาหารนานที่สุด
ตลกรุ่นใหญ่จะพลิกเมนูไปมาเพื่อดูรายชื่ออาหารโดยละเอียด ก่อนที่สุดท้ายจะสั่งอะไรที่มันไม่เคยมีอยู่ในรายการ
“เอาเส้นใหญ่ราดหน้า เอาแต่เส้นกับผัก เวลาผัดเส้นหรือเคี่ยวน้ำห้ามใส่น้ำปลา และห้ามใช้น้ำมันหมู สรุปง่าย ๆ ว่า ทำยังไงก็ได้ แต่อย่าเอาอะไรที่เกี่ยวกับสัตว์มาให้กูแดก”
เมนูอาหารของเทพเล่นเอาบริกรถึงกับงงและขำขันในความเป็นคนบ้าน ๆ ไปในคราวเดียวกัน มันฟังดูเหมือนว่ายาก แต่จริง ๆ แล้วก็คืออาหารง่าย ๆ และในความง่าย ๆ มันก็ดูมีความยาก
นับจนถึงวันนี้ เป็นเวลา 9 ปีแล้วที่เทพลด ละ เลิก การบริโภคเนื้อสัตว์ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่อย่างวัว หมู สัตว์ปีกอย่างเป็ด ไก่ หรือสัตว์ทะเลอย่างกุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์เหล่านี้ไม่เคยมาเป็นซากศพอยู่ในร่างกายของเขา
“เราเริ่มจากสัตว์ใหญ่อย่างวัวก่อน วัวนี่เลิกมา 30 กว่าปีน่าจะได้ ความจริงเราไม่ได้คิดว่าจะเลิกหรอก เพราะเมื่อก่อนก็ชอบกิน ชอบมากด้วย แต่พอเราไปเห็นภาพที่เกิดขึ้นแล้วมันไม่ไหว”
“ภาพ” ในความหมายของเทพ หมายถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งเดินทางกลับจากไปเล่นตลกที่ จ.ร้อยเอ็ดเมื่อหลายสิบปีก่อน ขณะนั้นเป็นเวลาราวตีสี่ เขากำลังขับรถไปตามถนนมิตรภาพ โดยมีจุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก และลูกวงคนอื่น ๆ หลับอยู่ที่เบาะหลัง ทุกอย่างดูเป็นปกติธรรมดาดังเช่นการเดินสายทุกครั้งทว่าเมื่อรถเข้าสู่ จ.ขอนแก่น เทพก็ได้เจอกับความน่าสยดสยอง อันเป็นที่มาให้เลิกกินสัตว์ใหญ่
“รถบรรทุกวัวมันชนกับรถทัวร์ เละเต็มถนนไปหมดเลย ทั้งซากวัว ซากคน คิดดู เลือดมันแดงเต็มถนนยาวไปเป็นกิโล แล้วกลิ่นคาวมันเข้ามาในรถเหม็นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พอขับไปอีกสัก 1 กิโล มีลูกวัวตัวหนึ่งเดินร้องมอ ๆ ตามหาแม่ ในสภาพกระดูกหัก ตาเตอนี่ถลนออกมมาข้างนอกหมดแล้ว มันเดินกะโผลกกะเผลกไปตามสัญชาตญาณสุดท้าย เรียกได้ว่าภาพแต่ละภาพที่เห็นแม่งเหมือนรกเลย มันติดตาไปตลอดทั้งวัน แต่มันก็ดีที่เราได้เห็น เพราะพอเห็นตรงนั้น เราก็สว่างตรงนั้น พอเช้ามาเราก็ไม่กินเนื้อวัวอีกเลย”
“ส่วนไอ้สัตว์ทุกอย่างนี่มาตัดได้ก็ตรงที่เราไปนั่งดูดบุหรี่อยู่ตรงครัวหลังคาเฟ่ แล้วมีคนแม่งเอาปู เอากุ้งเอาสัตว์เป็น ๆ มาหนีบเหล็กแล้วก็วางเผาไฟบนเตา เรามองไปเห็นมันดิ้นแพร่ด ๆ เห็นแล้วไม่ไหว ลุกหนีออกมาเดี๋ยวนั้น แล้วก็บอกกับตัวเองเลยว่า ต่อไปนี้กูไม่แดกแม่งแล้ว หยุดหมด ไม่ว่าสัตว์เป็นสัตว์ตาย”
อย่างที่กินมังสวิรัติ เชื่อว่ามันเป็นเรื่องของบุญของกรรม
มันเกิดมาจากความเมตตาก่อน ไม่รู้ว่ากรรมหรืออะไรไม่รู้ กูเป็นคนไม่ถือศีลอะไรให้มากมายหรอก ไม่ใช่ว่าต้องไปอยู่ในถ้ำ ต้องนั่งสมาธิ กูไม่ใช่คนอย่างนั้น แต่กูมีจิตเมตตา พอเมตตาปุ๊บอะไรมันก็จะดึงกันมาได้เอง พอเรามีเมตตาอย่างหนึ่ง ไอ้เรื่องจะไปเบียดเบียนชีวิตอื่นเราก็จะไม่ทำ จะทำดีทำชั่วอยู่ตรงจิตนี่ล่ะ จิตหักได้ไหม หักใจได้ไหม หักสิ่งโลภได้ไหม หักสิ่งที่เห็นแก่ตัวได้ไหม ถ้าหักได้ชีวิตมึงก็สบายแล้วนะ ไม่หวังอะไร ไม่ต้องไปโลภอะไรแล้วทุกวันนี้ จะว่าไปกูก็หักไปได้เยอะ แต่ก็ยังไม่ได้หักหมดนะ ก็มีบ้างเล็กน้อย เพราะเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อรหันต์ มันก็ต้องมีบ้าง ไอ้ที่ไม่ดีก็มี แต่เราก็ดูว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายมากมาย ถ้าเกิดมันเลวร้ายจริง ๆ ชาติชั่วจริง ๆ ไอ้ตรงนั้นเราก็รู้
บางคนบอก กินไปเถอะ มันเกิดมาเพื่อเป็นอาหาร
ก็เห็นพูดอย่างนั้น อาหาร มันเกิดมาเป็นอาหาร กูถามว่ามันบอกกับมึงหรือยัง มันพูดกับมึงหรือยังว่ามันเป็นอาหาร ไก่ เป็ด หมู หมา กา ไก่ วัว ควาย เขาพูดกับมึงหรือยัง มนุษย์แม่งคิดเองหมด มึงรู้ไหมว่าความเจ็บปวดเขาเท่ากับมึงที่เจ็บปวด ถ้ามึงไปปาดคอเขามันก็เหมือนที่เขาปาดคอมึงนั่นแหล่ะ แล้วจำไว้เลย สักวันต้องมีคนมาปาด เพราะกรรมนี่มันหนีไม่พ้น
ผมว่าคนเชือดหมูเขาอาจจะคิดว่า กูทำให้แก่มนุษย์อีกหลายคน เขาอาจจะคิดว่า กูได้บุญ หรือไม่เป็นไรก็ได้
มันอาจจะคิด แต่ว่าพระพุทธเจ้าเขาไม่คิดกับมัน เขาไม่มีสอนตรงนั้น มึงฆ่าไปแจกเขา ไอ้ตรงนั้นมึงก็ได้ส่วนหนึ่งแล้ว โอเค มึงอาจจะฆ่าหมู ตัดเป็นชิ้น ๆ แล้วไปแจกชาวบ้านที่เขาอดอยาก แต่มึงต้องรับกรรมตรงความเจ็บปวดของเขาที่มึงเชือดเขา มึงต้องรับแน่ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่กูไม่ทำดีกว่า
คนฆ่าวัวฆ่าอะไรเวลาจะตายมันร้องอย่างกับวัวเลย ไอ้สัตว์ บางคนก็ร้องกันอย่างกับหมู ไอ้ที่ร้องออกมาเพราะอะไร คนจะตายมันมองเห็นภาพออกมา
คิดในเชิงโภชนาการมันก็ต้องกินเป็ดกินไก่ ไม่งั้นจะเอาโปรตีน เอาคุณค่าทางอาหารจากไหน
มึงบอกไม่มีโปรตีน สัตว์มันเลือกกินอย่างมึงหรือเปล่า กูเห็นวัวควายแม่งก็กินหญ้าอย่างเดียว มันไม่ได้กินไก่กินหมูอะไรแบบมึง แต่ทำไมมันแข็งแรง มึงไปสู้กับมันสิ เอาไหม ไอ้เหี้ย จับมันยังไม่อยู่ อย่างมึงนี่กูให้สามเลย
พระพุทธเจ้าเขาเป็นคนที่รู้ในสัจธรรม อย่าไปฆ่าอย่าเบียดเบียนสัตว์นะ มันเป็นบาป แต่มนุษย์เรานี่เสือกบอกว่าสัตว์เป็นอาหาร เขาก็ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้กิน แต่เขาเตือนอยู่เรื่อยว่า ถ้าทำกรรมก็ต้องรับกรรมนะ และเราอยากทำอย่าไปบ่น รู้ไหมมนุษย์นี่เป็นชั้นที่สามารถเลือกได้ เป็นมนุษย์นี่ประเสริฐเพราะอะไร เพราะมันสามารถเลือกได้ มึงจะขึ้นสวรรค์ก็ได้ ลงนรกก็ได้ มึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกทำได้ มึงทำบุญก็ได้ มึงทำบาปก็ได้ จะเลือกไปทางไหนล่ะ มึงคิดเอาเอง มึงทำไปแล้วมันก็อยู่กับตัวมึงนะ มันไม่อยู่กับใครหรอก มึงอย่าบ่นแล้วกัน จะมาร้องมาโอดมาครวญกัน โอ๊ย เป็นมะเร็ง โอ๊ย เป็นเบาหวาน เป็นความดัน มันไม่ได้เกี่ยวกับอยู่ ๆ เราเป็นหรอก มึงไปทำอะไรล่ะ มึงกินเขาเข้าไป กรรมมันตอบสนองมึงอยู่ไง มึงไม่ได้ฆ่าก็จริง แต่มึงกินร่วมกับเขา เขาเรียกว่ากรรมร่วม เหมือนมึงเล่นไพ่ ไอ้คนดูต้นทางเขาถูกจับกุม มึงก็โดน ไอ้ตัวคนเฝ้าก็โดนเหมือนกัน ไม่ได้เล่นมันก็ต้องโดน หลักการเดียวกัน แต่นั่นมันคือหลักกฏหมาย มันมีเปลี่ยนแปลงได้ แต่กฏแห่งกรรมมันเปลี่ยนไม่ได้ มึงทำเท่าไหร่มึงก็รับไปเท่านั้น
เทพ โพธิ์งาม - ล้มละลายไม่เป็นไรแต่ขอให้วัวมีหญ้ากิน
การเป็นมังสวิรัติตัวยงของเทพไม่ได้เกิดจากการต้องการรักษาสุขภาพ หรือต้องการชำระล้างจิตใจให้รู้จักละวางในรูป รส กลิ่น เสียง หากแต่เกิดจากการได้เห็นถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตแล้วเกิดจิตเมตตาสงสาร แน่นอนว่าผู้มีความรู้สึกเช่นนี้ได้ย่อมต้องมีใจคิดถึงผู้อื่นเป็นที่ตั้ง เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ภาพที่มองเห็นก็คงเป็นได้แค่เพียงสายลมเฉื่อยที่พัดผ่านไปโดยไม่ก่อให้เกิดความทุกข์ร้อนอันใด
“กูไม่ใช่คนมีศีลหรอก แต่เป็นคนมีเมตตา คือมันไม่รู้เป็นยังไง มันเห็นสัตว์เห็นอะไรพวกนี้จะโดนฆ่าแล้วมันทนไม่ได้ มันจะเกิดเป็นความทุกข์ ความกังวล ต้องหาทางทำอะไรเพื่อจะไถ่ชีวิตมันให้ได้”
เทพไม่ใช่มนุษย์ผู้นิยมนำความโป้ปดมดเท็จมาสร้างภาพให้ตัวเองดูดี บ่อยครั้งที่นักสร้างความสุขวัย 5 รอบ ได้ทำการโกงความตายให้แก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่นับสิบนับร้อยชีวิต โดยที่ไม่สนว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้ตัวเองในภายหลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ลูกวัวขี้โรค 2 ตัว ที่บัดนี้เติบใหญ่จ้ำม่ำ มีลูกหลานอยู่เต็มไร่นาสาโทของเขา
“ไอ้วัวที่เป็นฝูงอยู่ตรงนั้น ไอ้ 2 ตัวนั้น เขาจะฆ่า” ป๋าเทพว่าพลางชี้ไปยังวัวจ่าฝูง 2 ตัว ซึ่งเป็นพระเอกของเรื่อง
“ตอนนั้นกำลังเริ่มทำไร่ใหม่ ๆ สัก 20 กว่าปีที่แล้วน่าจะได้ ชาวบ้านเขาจูงไอ้ 2 ตัวนี้ผ่านไร่ เราก็เลยถามว่าจะเอาไปไหน เขาบอกมันทำอะไรไม่ได้แล้ว จะฆ่า เอาเนื้อมากิน กูคิดในใจ มึงไม่ต้องฆ่าแม่งก็จะตายเองอยู่แล้ว เพราะตัวนึงผอมเหลือแต่กระดูก ส่วนอีกตัวเป็นคางทูมแล้วก็ตาบอดข้างนึง”
“เห็นอย่างนี้ก็ปล่อยผ่านไม่ได้ เลยบอกเจ้าของวัวไปว่า แก่ฆ่ามัน แกจะได้เนื้อกินสักกี่กิโลกัน จะถึง 2 โลหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้ามึงจะเอาไปฆ่า งั้นกูขอซื้อมันไว้แล้วกัน มันก็ขายมาให้เรา ตัวล่ะ 1,500 กับ 1,200”
ไร่ของตลกผู้โปรดสัตว์ตั้งอยู่ใน อ.บ้างโป่ง จ.ราชบุรี บนเนื้อที่รวมกันกว่า 50 ไร่นี้ เทพซื้อเอาไว้เพื่อให้บรรดาสัตว์ทั้งหลายไว้ใช้อยู่อาศัย โดยจะไม่มีการฆ่าหรือทำร้ายพวกมันแม้แต่ตัวเดียวบนผืนดินแห่งนี้ ทุกชีวิตต่างอยู่อาศัยกันไปตามธรรมชาติ ไม่เว้นแม้แต่คน
“เราตั้งใจว่าจะให้เขาอยู่กันตามธรรมชาติ ตั้งแต่ไส้เดือนไปยันสัตว์ใหญ่อย่างวัวควาย จะไม่มีการไปทำร้ายอะไรเขาทั้งนั้น อย่างวัวควายเราก็ไม่ได้ไปสนตะพายมัน ปล่อยให้มันกินหญ้า เดินทำอะไรของมันไปเรื่อย”
“แล้วไม่จำเป็นว่าต้องเฉพาะสัตว์ที่เราเลี้ยงหรือไถ่ชีวิตเขามาเท่านั้นที่ต้องมาอยู่ สัตว์ตัวไหนที่ธรรมชาติเขาจัดสรร เขาอยากให้มาอยู่ เราก็ไม่ทำร้าย อย่างงูจงอางที่นี่ก็มีหลายตัว วันก่อนก็เพิ่งเลื้อยผ่านเราไป ก็ปล่อยมัน สัตว์พวกนี้ถ้าเราไม่ทำเขา เขาก็ไม่ทำเราหรอก”
แม้จะล้มเหลงหรือถูกฟ้องล้มละลาย แต่เทพบอกว่านั่นคือปัญหาในระดับผิว ๆ ที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าต้องทุกข์ร้อนกังวล ทุกวันนี้เรื่องที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเขาคิดมากจนถึงขั้นซีเรียสก็เห็นจะมีแต่เรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ของสัตว์ ล่าสุดเขามีโครงการจะซื้อที่จากแปลงข้าง ๆ เพิ่มอีก 8 ไร่ เนื่องจากกังวลว่าวัวจะมีหญ้าไม่พอกิน
จะมีมนุษย์สักกี่คนในโลกนี้ที่มีหนี้สินถึงขั้นโดนฟ้องล้มละลาย แล้วยังมีอารมณ์สบาย ๆ ซื้อที่ดินไว้ปลูกหญ้าเพื่อให้วัวสวาปาม
“นอกจากซื้อที่เพิ่มให้วัว กูว่าจะขุดบ่อปลาต่อจากเดิมให้ยาวไปจนสุดท้องร่อง เขาจะได้มีที่อยู่ที่ว่ายน้ำกว้าง ๆ ไม่อึดอัด นี่ก็กำลังจ้างช่างให้มาดูอยู่ว่าจะขุดยังไงมันถึงจะดีสำหรับเขา”
แนวคิดในการทำเพื่อสัตว์ของเทพไม่ได้มีหลักการหรือทฤษฎีซํบซ้อนอะไรมากนัก โดยรวมแล้วมันมีอยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นคือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
“มันไม่ต้องอะไรมากหรอกพวกสัตว์เนี่ย มึงแค่คิดว่า ถ้ามึงเป็นเขา คิดได้แค่นี้ การที่มึงจะไปเบียดเบียน ไปทำร้ายเขามันก็ไม่มีแล้ว อย่างวัวควาย ถ้ามึงจะไปสนตะพายเขา มึงลองคิดกลับกันว่า ถ้ามีคนเอาตะปูเอาอะไรมาตอกจมูกมึง มึงจะรู้สึกยังไง เจ็บปวดแค่ไหน หรืออย่างปลาที่เอามาเป็นอาหารให้มึง เขาต้องถูกทุบหัว ถูกปาดท้อง มึงคิดแค่ว่า ถ้าวันไหน อยู่ ๆ มึงโดนเอาค้อนปอนด์มาทุบหัวบ้างล่ะ มึงอยากจะเจอไหม ขึ้นชื่อว่าชีวิต กูว่ามันไม่มีใครอยากโดนทำร้ายหรอก”
“เพราะฉะนั้นมึงไม่จำเป็นต้องไปแสดงความรัก ไปกอด ไปหอม ไปสัมผัสเขาหรอก วัว ควาย ปลานิล งูเห่า ฯลฯ เขาต้องการอย่างนั้นที่ไหน โอเค สัตว์บางประเภทอย่างหมาแมว มันอาจจะต้องการบ้าง แต่นั่นมันเป็นขั้นกว่าไปแล้ว ถามว่าถ้าไม่มี เขาอยู่ได้ไหม เขาก็อยู่ได้”
“แต่สิ่งที่สำคัญจริง ๆ มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก ขอให้มึงคิดในจุดนี้ คิดถึงใจเขาใจเราให้ได้แล้วกัน ถ้ามึงคิดได้ อะไรที่ดีสำหรับชีวิตเขามันจะตามมาเอง”
เทพไม่ใช่มนุษย์ที่ต้องการความรัก ความคุ้นเคยจากสัตว์ที่เขาช่วยเหลือ หากแต่แค่ต้องการให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ถูกทำร้ายหรือเอาชีวิตจากสัตว์อีกประเภทที่สถาปนาตัวเองว่าเป็นผู้ประเสิรฐกว่า การไม่แยแสต่อความดีความชอบนี้เอง ที่กลายเป็นความเหนือชั้นในการเป็นผู้โปรดสัตว์ของเทพ
“กูก็แค่ทำตามอย่างที่กูคิดกูรู้สึก ทำไปตามสิ่งที่กูอยากทำ กูไม่ได้หวังหรอกว่าพวกมันจะต้องมาตอบแทน จริงอยู่ที่สัตว์ที่นี่ ทั้งวัว ควาย ปลา หมา ไก่ เป็ด ฯลฯ กูไปซื้อไปไถ่ชีวิตมา แต่ไม่ได้หมายความว่ากูไถ่มาแล้วกูเป็นเจ้าของชีวิตมัน กูจะทำอะไรกับมันก็ได้ หรือมันต้องตอบแทนกู ต้องให้ความรักกับกู มันไม่ใช่ถ้าอย่างนั้นแสดงว่ามึงไม่ได้ช่วยมันหรอก แต่มึงช่วยตัวมึงเองต่างหาก”
“สำหรับกู แค่เรารู้ว่าตัวเรากำลังทำอะไรให้เขาก็พอแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องมารู้หรอกว่าใครทำอะไรให้เขาบ้าง”
* บทความนี้ตัดตอนมาจากนิตยสาร “ค.คน” ปีที่ 5 ฉบับที่ 4(52) กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น